Disclaimer
บทความนี้เป็นมีไว้เพื่อศึกษาการลงทุนผ่านการปฎิบัติจริง
โดยใช้ความเห็นส่วนบุคคลในการนำเสนอ
ไม่ได้เป็นคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับองค์กรที่สังกัดแต่อย่างใด
รายละเอียดเป้าหมาย วัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุน
สำหรับชุดบทความนี้สามารถอ่านได้ที่ S1 EP01
จากตอนที่แล้วได้สรุปผลตอบแทนเมื่อครบปี ก็ถือได้ว่าเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมากเกินเป้าหมายมาเยอะเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่านโยบายหรือวิธีการลงทุนสำหรับพอร์ตนี้น่าจะมีสิ่งที่จะปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับพอร์ตที่มีขนาดโตขึ้นด้วย
สิ่งที่จะปรับปรุงจาก S1
1. ในแต่ละสินทรัพย์จะสามารถเลือกกองทุนได้มากกว่า 1 กอง
เดิม 1 สินทรัพย์ ลงทุนเพียง 1 กองทุน
ใหม่ 1 สินทรัพย์ อาจจะมีกองทุนที่ซื้อมากกว่า 1 กอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงเพิ่มในมุมของ Selection
2. การเข้าซื้อในแต่ละเดือน จะไม่ได้แบ่งเงินเข้าซื้อตามสัดส่วนทุกเดือน
เดิม ซื้อเพิ่มเดือนละ 5,000 บาท ก็จะแบ่งเงินก้อนนี้ซื้อตามสัดส่วนที่วางแผนไว้ อันไหนยังไม่เข้าซื้อก็จะไปเข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้แทน
ใหม่ เงินใหม่แต่ละเดือน 5,000 บาท จะถูกแบ่งตามการตัดสินใจของเดือนนั้น ๆ ว่าจะซื้อสินทรัพย์ไหนเท่าไหร่ โดยที่ยังคงรักษาสัดส่วนของสินทรัพย์นั้น ๆ ไม่ให้เกิน 10% ของสัดส่วนที่วางแผนไว้ และไม่ให้ต่ำกว่า 10% จากสัดส่วนที่วางไว้เช่นกัน
3. การดูแนวโน้มของสินทรัพย์จะไม่ดูจาก Master Fund แล้ว
เดิม ดูแนวโน้มสินทรัพย์จากดัชนีหรือ Master Fund ของกองทุนที่เข้าซื้อ
ใหม่ ดูแนวโน้มสินทรัพย์จากดัชนี หรือ Index Level ของ ETF ที่ถูกนำมาเป็น BM เนื่องจากมีปรับให้สามารถลงทุนได้มากกว่า 1 กองทุนต่อประเภทสินทรัพย์ หากไล่ดู Mater Fund น่าจะสร้างความ งง ได้พอสมควร 😅
4. ปรับเปลี่ยน BM ของ DM EQ และ EM EQ
เดิม ใช้ iShares MSCI EAFE ETF ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก แต่ ไม่รวม US และ Canada
ใหม่ ใช้ iShares MSCI ACWI ETF ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกแทน
เดิม ใช้ iShares MSCI Emerging Markets ETF ซึ่งลงทุนในประเทศกลุ่ม Emerging Market
ใหม่ ใช้ iShares MSCI All Country Asia ex Japan ETF ลงทุนใน Asia ยกเว้นญี่ปุ่น
5. เพิ่มการวิเคราะห์ Tactical Allocation และ Selection แทน
ใหม่ เนื่องจากการปรับเปลี่ยนในข้อ 1 และ 2 ปีนี้จะมีการทำ Performance Attribution เพิ่มเติม โดยเรียนแบบมาจาก DIY Portfolio ทีได้ไปเรียนรู้มา หน้าตาก็จะเป็นประมาณนี้
โดยสรุป คือ สัดส่วนของพอร์ตจะเป็นไปตามนี้
Thai Prop (Mixed) 10%
Thai EQ 20%
World EQ 20%
Asia EQ 20%
Sector EQ Health 10%
Sector EQ Tech 20%
ซื้อสินทรัพย์เมื่ออยู่เหนือเส้น MA 20 และ 40 weeks
เมื่อสินทรัพย์ไหนอยู่ต่ำกว่า MA 20 และ 40 weeks ขายเก็บเข้า Thai Bond
อยู่ระหว่าง MA 20 และ 40 weeks หยุดซื้อสินทรัพย์นั้น
สัดส่วนเกิน 10% ของสัดส่วนที่วางไว้ ทำการขายไปเข้าสินทรัพย์อื่น
การเข้าซื้อเดือนนี้
Thai Property – แตะ MA 20 มาได้นิดนึงแล้วลงต่อ << ยังไม่เข้าซื้อ
Thai EQ – ยังคงยืนเหนือ MA 40 อยู่ (แต่ไม่รู้เดือนหน้าจะยังไงนะ เจอโควิดระลอกใหม่เข้าไป ใจก็หวั่นว่าจะซื้อดีไหม 🤣🤣) << ยังซื้อต่อ
Asia EQ – ทรงยังดีอยู่ << เข้าซื้อต่อ
Global EQ – ทรงดีอยู่ << เข้าซื้อต่อ
Sector EQ (Healthcare) – ทรงดีอยู่ << ยังคงเข้าซื้อต่อ
Sector EQ (Tech) – เด้งกลับขึ้นมาเหมือนกัน << ยังคงเข้าซื้อต่อ
สรุปเดือนนี้ ด้วยนโยบายใหม่ จะทำการกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ทั้งหมด ยกเว้น Property โดยแบ่งตามนี้
1. TMBCOF – 1,000 บาท
2. BCARE – 1,000 บาท
3. K-USXNDQ-A(A) – 500 บาท
4. ONE-GECOM – 1,000 บาท
4. K-CHANGE-A(A) – 1,000 บาท
5. TSF-A – 500 บาท
จากการเข้าซื้อในเดือนนี้ก็คือเอียงพอร์ตไปยัง Sector EQ และลด Thai EQ ลงหน่อยนึง แอบกังวลเรื่องโควิดระลอกใหม่ 🤣🤣 ดูซิว่าเดือนหน้าจะโดนตัวเองหลอกไหม 🤣🤣